วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ภูเก็ต
สารบัญ
วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
โรงเรียนดาวรุ่ง - ดาราสมทร
I. ภูเก็ตและเมืองฝั่งทะเลอันดามัน
ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันเป็นพื้นที่ที่เคยมีทรัพยากรธรรมชาติ อาทิเช่น แร่ดีบุกและวุลแฟรมจำนวนมาก ซึ่งมีการเริ่มขุดแร่ขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 และต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ราชอาณาจักรไทยได้ให้สัมปทานแก่บริษัทต่างประเทศและจีนได้ขุดขึ้นมา แต่การทำเหมืองแร่ได้เลิกไปหลายปีแล้ว ภายหลังได้มีการปลูกสวนยางพาราจำนวนมาก และภาคนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก ชาวต่างประเทศรู้จักหาดของเกาะภูเก็ต พังงา กระบี่ และระยองเป็นอย่างดี ในทะเลอันดามันมีปะการังและปลาชนิดต่างๆ ที่สวยงาม มาก ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้การคมนาคมและการเดินทาง ทั้งทางบกและทางอากาศก็สะดวก และ ทันสมัย
สถานการณ์ด้านการเมือง
เกาะภูเก็ตและเมืองตามชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม ก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาไม่นาน ในปี ค.ศ. 1330 - 1350 พระยาอู่ทองได้ลงไปยึดครองแหลมทองทั้งหมดจากการปกครองของอาณาจักรศรีวิชัย ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จังหวัดกระบี่และตรังในปัจจุบันตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระยานครศรีธรรมราช ส่วนที่เกาะภูเก็ตเริ่มมีผู้ปกครองที่ชื่อ ว่า พระยาถลาง เมืองหลวงอยู่ที่ ทุ่งคา ในช่วงนี้พ่อค้าชาวโปรตุเกส ชาวฮอลแลนด์ และฝรั่งเศส ได้วนเวียนมาค้าขายตามชายฝั่งทะเลอันดามัน
หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตก และมีการฟื้นฟูอาณาจักรสยาม โดยพระยาตาก ส่วนนี้ของอาณาจักรสยามได้ตกอยู่ในภาวะสงครามระหว่าง อาณาจักรสยามและพม่าเป็นเวลาหลายปี และผู้ที่ปกครองมณฑลมีชื่อว่า พระยาถลาง ตามประวัติของเกาะภูเก็ต ในปี ค.ศ.1785 พม่าได้บุกเกาะภูเก็ต
ประวัติบันทึกไว้ว่าตอนที่ชาวพม่าได้นำเรือเพื่อขึ้นเกาะภูเก็ตในปี ค.ศ.1785 พระยาถลางได้ถึงแก่อนิจกรรม ดังนั้นภรรยาของท่านคือนางจันทร์กับนางมุก (น้องสาว) ได้บังคับบัญชาทหารที่ป้องกันเมืองหลวงทุ่งคาและสามารถต่อต้านทหารพม่าจนกระทั่งในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1985 พวกเขาถอยทัพกลับไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ ท้าวเทพกษัตรีย์ ให้แก่คุณหญิงจันทร์และท้าวศรีสุนทรให้แก่คุณหญิงมุก (ดูคำบันทึกของคุณพ่อมารีโอรูเซ็ดดู ในสมุดเขียนด้วยมือ)
ต่อมาต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทหารพม่าได้ลงมายึดครองชุมพร ไชยา นครศรีธรรมราช เมืองต่างๆ ฝั่งทะเลอันดามัน คือ กระบี่ ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง และในที่สุดพวกเขาได้ยึดครองเกาะภูเก็ตในปี ค.ศ. 1808 ต่อมาเมื่อชาวอังกฤษได้ทำสงครามกับพม่าจนได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว ภูเก็ตจึงได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม ในปี ค.ศ 1824 เมื่อประเทศอังกฤษได้ยึดมาเลเซียและพม่าตอนล่างเป็นเมืองขึ้นแล้ว ครอบครัวคนจีนชื่อ “คอ ซู เชียง” ซึ่งได้เริ่มกิจการที่ปีนังแล้ว ได้เข้ามาทำธุรกิจตามชายฝั่งทะเลอันดามันของไทยด้วย ได้ประสบผลสำเร็จที่ระนอง รายละเอียดมีดังต่อไปนี้ นายคอ ซู เชียง ได้ก่อตั้งบริษัทขุดแร่ดีบุก ปลูกสวนยาง ต่อมาท่านได้ตั้งบริษัทส่งสินค้าทางเรือ ยังได้ตั้งบริษัทเงินทุน สุดท้ายเขายังได้ตั้ง บริษัทจัดหาแรงงานต่างชาติ ท่านก็ได้เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญรักษาผลประโยชน์ให้แก่ราชอาณาจักรสยาม ทั้งไม่ยอมให้เมืองระนองตกเป็นของอังกฤษ
ในปี ค.ศ. 1844 ท่านได้รับแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 ให้เป็นผู้เก็บภาษีเหมืองแร่ส่งให้ส่วนกลาง ท่านได้รับพระราชทานชื่อว่าเป็น “หลวงรัตนะเศรษฐี” ต่อมาในปี ค.ศ. 1854 สมัยรัชกาลที่ 4 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองระนอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1864 เขตเมืองระนองถูกแยกจากชุมพร ท่านจึงได้รับเป็นพระยาระนอง “คอซูเชียง” นี้มีลูก 6 คน ลูกชายคนที่ 2 ชื่อ “คอซิมกอง” ได้รับแต่งตั้งเป็น พระยาระนอง ต่อจากบิดา ในปี ค.ศ. 1882 และต่อมาเมื่อมีการตั้งมณฑลขึ้น ในปี ค.ศ. 1896 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร
ลูกคนที่ 4 ชื่อ “คอซิมกิม” ได้เป็นเจ้าเมืองกระบุรี ส่วนคนที่ 5 ชื่อ “คอซิมเท็ค” เป็นเจ้าเมืองหลังสวน คนสุดท้ายชื่อ “คอมซิมบี้” ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถดีเด่น ในปี ค.ศ.1893 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองตรัง ได้รับพระราชทานชื่อว่า “พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศวรภักดี” (phraya Ratsadanupradit Mahison phakdi) ต่อมาในปี ค.ศ. 1900 ได้รับแต่งตั้งเป็น สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต (ที่เพิ่งได้ตั้งขึ้นมาใหม่)
เมื่อมีการปฏิรูปการปกครอง สมัยพระยาดำรงราชานุภาพ ครอบครัวคอซูเชียงนี้ ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “ณ ระนอง” เพราะเป็นครอบครัวที่ได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์บนเกาะภูเก็ตและฝั่งทะเลอันดามัน (การเริ่มต้น) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักเดินเรือชาวโปรตุเกสและสเปนได้เดินเรือด้วยความกล้าหาญอ้อมทวีปแอฟริกามาถึงฝั่งตะวันออกไกล ในปี ค.ศ. 1497 กัปตันวาสโก เดอร์ กามาร์ ได้ถึงประเทศอินเดีย ในปี ค.ศ. 1521 กัปตันมาเจราโน ชาวโปรตุเกส ได้ถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในนามของประเทศสเปนซึ่งภายหลังประเทศสเปนได้ยึดครองเป็นอาณานิคม ชาวโปรตุเกสส่วนมากจะเดินเรือมาทางตะวันออกไกลเพื่อค้าขายและซื้อพริกเผาและผลผลิตอย่างอื่นนำไปขายที่ยุโรป ชาวโปรตุเกสมักจะตั้งที่มั่นของเขาเพื่อความปลอดภัย ภายหลังที่มั่นเหล่านี้จะตั้งเป็นสังฆมณฑลเพื่อการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ด้วย (ตามสิทธิที่พวกเขาได้รับจากญาติกัน)
ในปี ค.ศ. 1510 ชาวโปรตุเกสได้ตั้งที่มั่นของเขาที่กัวร์ (GOA) (ทางเหนือของเมืองมุมไบปัจจุบัน) ซึ่งในปี ค.ศ.1518 ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆมณฑล ในปี ค.ศ.1511 ชาวโปรตุเกสได้ยึดเมืองมะละกา ซึ่งเขาได้แต่งตั้งเป็นสังฆมณฑลในปี ค.ศ. 1558 นอกนั้นในปี ค.ศ.1557 พวกชาวโปรตุเกสยังตั้งที่มั่นที่มาเก๊า ซึ่งได้ถูกแต่งตั้งเป็นสังฆมณฑลในปี ค.ศ.1576 ตลอด 1 ศตวรรษ พ่อค้าชาวโปรตุเกสพร้อมทหารพวกหนึ่งเพื่อป้องกันตัว เดินทางทางทะเลอินเดียและจีนเพื่อการค้าขายและเผยแพร่ศาสนา
ในปี ค.ศ. 1511 อัลบูเคิร์ก อุปราชของกษัตริย์โปรตุเกส หลังจากได้ยึดเมืองมะละกาแล้ว ได้ส่งตัวแทนทูตของท่าน คือ ดูอาร์เต โกแอล โฮ ไปที่เมืองอยุธยา นำของขวัญของท่านไปให้แก่พระมหากษัตริย์ รามาธิบดีที่ 2 และชี้แจงเหตุผลของการยึดเมืองมะละกา ในเดือนธันวาคม ดูอาร์เตได้กลับไปที่มะละกาพร้อมทูตของกษัตริย์ไทย รามาธิบดีที่ 2 เพื่อแสดงความยินดี และสังเกตแสนยานุภาพทางทหารของชาวโปรตุเกส ในปีต่อมา อัลบูเคิร์ก ได้ส่งทูตอีก 2 ท่านไปอยุธยา ซึ่งเขาทั้ง 2 ได้กลับมาที่กัวร์โดยมีจดหมายของกษัตริย์ใทยสำหรับกษัตริย์โปรตุเกส
เพราะฉะนั้น ในปี ค.ศ. 1516 ดูอาร์เต โกแอล โฮ ได้เดินทางไปอยุธยาโดยแวะที่ปัตตานีหลายวัน ท่านไปทำสนธิสัญญากับพระมหากษัติรย์แห่งราชอาณาจักรสยาม พระมหากษัตริย์ได้อนุญาตให้ชาวโปรตุเกสได้่ค้าขายตามหัวเมืองในอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันอย่างอิสระ และเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้ด้วย
มีหลักฐานแน่ชัดว่าในปี ค.ศ.1520 ชาวโปรตุเกสได้ตั้งวัดคริสต์คาทอลิกในเมืองพารา บนเกาะภูเก็ต (ดูบทที่ 5.1) ต่อมาจำนวนคริสตชนได้เพิ่มขึ้นจึงมีการเปิดวัดอีก 2 แห่งคือ วัดแม่พระนฤมลทิน กับวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ในปี ค.ศ. 1670 ที่เกาะภูเก็ตมี คุณพ่อเปร์เรส (Don perez) ชาวโปรตุเกสทำงานอยู่ ภายหลังมีกลุ่มคริสตชนเกิดขึ้นในเมืองตะกั่วทุ่ง ท่านา ตะนาวศรี มะริด ทวาย
เมื่อพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ยืดพื้นที่ของอาณาจักรไทย ธรรมทูตคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสพร้อมคริสตชนจำนวนหนึ่งจากเมืองมะริด ทวาย และตะนาวศรีได้ลงไปทางใต้ที่เกาะภูเก็ตและไทรบุรีในรัฐเคดาห์ ในปี ค.ศ. 1784 คุณพ่อคูเด ซึ่งกำลังเดินทางไปรับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชที่เมืองปอนดีเชอร์รี่ ประเทศอินเดีย ได้เดินทางจากกรุงเทพไปสงขลา ไทรบุีรี ต่อมาท่านได้ขึ้นไปตามฝั่งทะเลอันดามันไปเยี่ยมเยียนคริสตนที่เกาะภูเก็ต ท่านา และตะกั่วทุ่ง พอท่านได้ฉลองพระคริสตสมภพ ท่านป่วยหนักเป็นไข้มาลาเรีย และถึงแก่กรรมในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1785 ที่ตะกั่วทุ่ง (พังงา)
ช่วงยุ่งยากและการอพยพไปทางด้านมาเลเซีย
เมื่อคุณพ่อคูเดได้ถึงแก่มรณกรรม คุณพ่อการ์โน๊ลต์ ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งสังฆมณฑลสยาม ท่านได้ทำงานเผยแพร่ศาสนาที่ไทรบุรีและต่อมาเกาะปีนัง ท่านได้ตั้งคณะซิสเตอร์รักางเขนที่เกาะปีนัง นอกนั้นท่านได้ตั้งโรงเรียนและโรงพิมพ์ ท่านยังได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่และให้ครอบครัวคริสตชนได้อยู่อาศัย ดังนั้น กลุ่มคริสตชนที่ปีนังได้เจริญเติบโต และได้เป็นฐานใหม่เพื่อการเอาใจใส่กลุ่มคริสตชนตามชายฝั่งทะเลอันดามันด้วย จากเกาะปีนังพระคุณเจ้าการ์โน๊ลต์ ได้เดินทางบ่อยๆ ไปเยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่ภูเก็ต ซึ่งมีประมาณ 300 คน และท่าน ยังเดินทางไปยังตะกั่วทุ่งและท่านา ซึ่งใน 2 กลุ่มมีคริสตชนรวม 300 คนด้วยเช่นเดียวกัน กลุ่มนี้ถูกเจ้าเมืองเบียดเบียนพอสมควร ในปีค.ศ. 1793 ท่านได้ไปเยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่ตะกั่วทุ่งและท่านา ท่านได้อยู่ที่นี่เป็นเวลา 6 เดือนพร้อมคุณพ่อกาเวย์ เพื่อช่วยแก้ปัญหา
ระหว่างปี ค.ศ. 1790 - 1808 ซึ่งเป็นระยะเวลาสงครามระหว่างอาณาจักรสยามและพม่ากลุ่มคริสตชนที่มะริด ตะนาวศรี และทวาย ไม่มีคุณพ่ออยู่ประจำ และได้รับความลำบากเดือดร้อนพอสมควร ที่ภูเก็ตมีคุณพ่อราโบ (Rabeau) และคุณพ่อราฟาแอล (Rafael) เมื่อพม่าได้ยึดเกาะภูเก็ตและเมืองต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลอันดามันในปี ค.ศ. 1808 นั้น สถานที่ต่างๆ ของคิรสตชนถูกทำลายสิ้น คริสตชนซึ่งส่วนมากเป็นคนจีนและโปรตุเกส ได้เดินทางไปอยู่ในรัฐไทรบุรี (Kedah) ประเทศมาเลเซีย
เมื่อชาวอังกฤษได้มายึดครองตะนาวศรีและพม่าทั้งหมด (ในปี ค.ศ.1828) ภูเก็ตซึ่งอิสระจากชาวพม่า ในปี ค.ศ. 1824 คริสตชนได้เริ่มกลับมาที่เกาะภูเก็ตบ้าง แต่ไม่มีธรรมทูตมาอยู่ประจำเลยการปฏิบัติศาสนาจึงค่อย ๆ สลายไปบ้าง
ฝั่งทะเลอันดามันอยู่ภายใต้สังฆมณฑลสิงคโปร์ ในปี ค.ศ. 1841 มีการตั้งสังฆมณฑลสยามตะวันตก โดยมีสำนักงานอยู่ที่สิงคโปร์ เกาะภูเก็ตและเมืองทางฝั่งทะเลอันดามันของไทยรวมกับมณฑลปัตตานีและสงขลาได้เป็นส่วนหนึ่งของสังฆมณฑลสยามตะวันตก (ดูประวัติของสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี)
จากจุดหมายของธรรมทูตคณะ M.E.P. ที่สิงคโปร์เราทราบว่า เมื่อพระคุณเจ้ามัลลอส (Mallos) เป็นพระสังฆราชที่สิงคโปร์ในปี ค.ศ 1855 ท่านได้ส่งคุณพ่อ 2 องค์ที่ภูเก็ตคือ คุณพ่อเลอเกอร์ กับคุณพ่อดือกัตต์ (Lequeux e padre Ducat) ก่อนที่จะเดินทางจากสิงคโปร์เพื่อไปเกาะถลางคุณพ่อทั้งสองได้ขอเอกสารอนุญาตจากเอกอัครราชทูตไทยที่สิงคโปร์ ซึ่งได้มอบเอกสารมีใจความว่า
“ในนามของพระมหากษัตริย์ไทย ข้าพเจ้าสั่งให้พระยาแห่งเกาะถลาง ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า และพังงา ได้จัดการต้อนรับธรรมทูต และอนุญาตให้พวกเขาได้สอนศาสนาคริสต์ของพระเยซูให้แก่ผู้ที่ปรารถนาที่จะเีรียน นอกนั้นข้าพเจ้าสั่งให้พระยาบริรักษ์ พระยาแห่งเกาะถลาง และเจ้าหน้าที่ทุกคนได้อนุญาตให้ธรรมทูตเหล่านี้มีที่พักและทำงานในที่ที่เขาต้องการ และให้เขาสามารถสอนศาสนาของพระเยซูให้แก่พลเมืองที่ต้องการเรียนรู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองของท่าน” (ดูจดหมาย 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1855)
คุณพ่อทั้งสองได้รับคำอวยพรจากพระคุณเจ้ามัลลอส แล้วขึ้นเรือเอลิซาเบ็ท (EIisabeth) ที่เดินทางจากสิงคโปร์ย่างกุ้งโดยแวะที่ปีนังกับภูเก็ต คุณพ่อทั้งสองได้มาถึงภูเก็ตเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1855 (ดูรายละเอียดของการเดินทางในเอกสาร “ภูเก็ต” ที่อยู่ในห้องเอกสารของ แขวงซาเลเซียน)
เมื่อคุณพ่อทั้งสองได้มาถึงเกาะภูเก็ตแล้ว พระยาบริรักษ์และเจ้าหน้าที่ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ต่อมาคุณพ่อทั้งสองได้พบคิรสตชน 5 คนในเมืองทุ่งคา ซึ่งเป็นเมืองหลวงและที่อยู่ของพระยาบริรักษ์ จากนั้นได้เดินไปทางเหนือของเกาะ ด้วยความยากลำบากและได้พบคริสตชนอีก 10 คน ในเดือนต่อๆ ไปคุณพ่อทั้งสองได้เดินทางโดยเรือไปตะกั่วป่า พังงา นครศรีธรรมราช แต่ไม่สามารถตั้งวัดขึ้นมาได้ เพราะคริสตชนยังมีจำนวนน้อย และผู้ที่สนใจเรียนศาสนาคริสต์มีน้อย (ดูรายละเอียดของการเดินทางในเอกสาร “ภูเก็ต” ที่อยู่ในห้องเอกสารของแขวงซาเลเซียน )
ปี ค.ศ. 1900 พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลสยามตะวันตกได้ส่งคุณพ่อเดวัลล์ (De valles) จากปีนังไปถึงภูเก็ต ในไม่ช้าคุณพ่อได้กลับไปที่ปีนังเหมือนเดิม เพราะไม่สามารถทำงานได้ผลดี คริสตชนมีจำนวนน้อยมาก
มณฑลภูเก็ตอยู่ในเขตมิสซังราชบุรี ในการตั้งมิสซังราชบุรีพระสันตะปาปาได้แยกจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่กาญจนบุรีถึงพัทลุง จากสังฆมลฑลกรุงเทพฯและแยกจังหวัดสงขลา ปัตตานีและมณฑลภูเก็ตจากสังฆมณฑลสิงคโปร์มารวมเป็นมิสซังราชบุรีเป็นพื้นที่ในเขตราชอาณาจักรสยาม มิสซังใหม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1930
เมื่อคณะซาเลเซียนรับมอบมิสซังราชบุรีเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1929 แล้ว คุณพ่อปาจซอตตีพร้อมคุณพ่อปินัฟโฟได้เดินทางไปทางใต้ เดือนมกราคมไปถึงเกาะปีนัง ระหว่างวันที่ 6 - 15 มกราคม ค.ศ. 1929 เพื่อรับมอบงานอภิบาลทางใต้จากคุณพ่อเดวัลล์ (De valles) คุณพ่อได้นำคุณพ่อทั้งสองไปถึงภูเก็ต ก่อนที่จะกลับไปราชบุรีคุณพ่อปาซอตตีได้อุทานว่า พระเจ้าเท่านั้นทรงรู้ว่าเราจะสามารถลงมือทำอะไรได้บ้างในเกาะที่อยู่ห่างไกลนี้ ในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1929 คณพ่อปาซอตตีได้เขียนจดหมายถึงผู้ใหญ่ที่กรุงตุิริน ประเทศอิตาลีรายงานเื่รื่องการต้อนรับเป็นอย่างดีโดยท่านผู้ว่าจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสร้างความพึงพอใจแก่ซาเลเซียนทั้งสองเป็นอย่างมาก
มิสซันนารีผู้เดินทางไปเยียมเยียน เมื่อพระสันตะปาปาได้ตั้งมิสซังราชบุรีเป็นเขตปกครองเฉพาะ (prefettura Apostolica) ในปี ค.ศ. 1934 แล้ว พระคุณเจ้าปาซอตตีได้เิ่ริ่มขยายงานอภิบาลลงมาทางใต้ เพราะมีพระสงฆ์บางองค์ที่พร้อมทำหน้าที่นี้แล้ว ในปี ค.ศ. 1935 พระคุณเจ้าปาซอตตีได้พาคุณพ่อมารีโอ รูซเซ็ดดู ลงไปใต้ถึงหาดใหญ่และเบตง แนะนำพื้นที่ทำงานให้แก่คุณพ่อเพื่อเดินทางลงมาเยี่ยมกลุ่มคริสต์ชนในแถบนี้
ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 คุณพ่อได้เริ่มเดินทางไปเยี่ยมเยียนคริสตชนที่กระจัดกระจายในที่ต่าง ๆ ทางภาคใต้ไปถึงภูเก็ต พังงา และทุกเมืองทางฝั่งทะเลอันดามันด้วย คุณพ่อเริ่มไปพบชาวต่างประเทศตามเหมืองแร่ แล้วจึงรู้จักคนไทยที่เป็นคริสตชน ที่ทำงานในเหมืองแร่ในที่ต่างๆ (ดูภาคที่ 6ประวัติสังฆมณฑล บทที่ 1.2 เรื่องการเยี่ยมเยียน)
ภายหลังคุณพ่อมารีโอได้วางแผนที่จะเดินทางไปทางใต้เพื่อเยี่ยมคริสตชนที่กระจัดกระจายนี้ปีละสองครั้ง ในเทศกาลพระคริสตสมภพและในเทศกาลปาสกา เพื่อในโอกาลคริสตชนต่าง ๆ ที่จะร่วมมิสซาและรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อย่างน้อยปีละสองครั้ง คุณพ่อมารีโอตอนนั้นอายุเพียง 26 ปี (ท่านเกิดในปี ค.ศ. 1910) ท่านวางแผนการเดินทางอย่างละเอียดโดยส่งข่าวทางโทรเลขหรือทางจดหมายให้ทุกครอบครัว นอกนั้นท่านก็เดินทางโดยรถไฟ ทางเรือ และบางครั้งก็อาศัยรถรับจ้างเป็นเวลา 30 – 45 วันในแต่ละครั้ง เป็นการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยแต่ได้นำความสุขใจด้านจิตใจแก่คุณพ่อ
วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1936 พระคุณเจ้าปาซอตตีได้ปรึกษาหารือกับที่ปรึกษา เรื่องข่าวที่คุณพ่อมารีโอู รูเซ็ดดู ได้ส่งมาจากเกาะภูเก็ตเรื่องการเปิดโรงเรียนบนเกาะนี้ พระคุณเจ้าได้พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 แต่ไม่มีบทสรุปที่แน่ชัด คุณพ่อเจ้าคณะและที่ปรึกษาได้พิจารณาเรื่องการเปิดโรงเรียนในภาคใต้อย่างจริงจังในที่ประชุมที่ปรึกษาในปี ค.ศ.1940 (ดู 24 สิงหาคม ค.ศ. 1940, 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940, 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940)
ระหว่างวันที่ 27 เดือนธันวาคม ค.ศ. 1938 - 30 เดือนมกราคม ค.ศ 1939 คุณพ่อมารีโอ รูเซ็ดดู ได้เดินทางลงมาทางใต้เป็นปีที่สี่ คุณพ่อบันทึกว่า วันที่ 4 - 18 มกราคม ท่านเดินทางจากชุมพรไปถึงกระบุรีและเดินทางต่อไปถึงระนอง จึงไป victoria Point ฝั่งพม่าไปเยี่ยมเยียนคริสตชนกระเหรี่ยงที่นั่น แล้วเดินทางไปภูเก็ตที่นี่คริสตชนเริ่มเสนอให้คุณพ่อเปิดโรงเรียนที่ภูเก็ตอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาพร้อมที่จะหาที่ดินให้มิสซังและงบประมาณเพื่อการก่อสร้างด้วย ต่อไปคุณพ่อเดินทางไปพังงา อำเภอตะกั่วป่าและกลับไปที่ภูเก็ต คุณพ่อมีการประชุมกลุ่มคริสตชนที่ภูเก็ต โดยมีคุณหลวงชนาทรนิทเทส (Chanador Niddhes) อยู่ด้วย โดยปรึกษาหารือกันว่ามีวิธีทีจะริเริ่มกิจการอะไรบ้างที่ภูเก็ตในอนาคตอันใกล้ ทุกคนมีความเห็นว่ามิสซังราชบุรีควรจะเปิดโรงเรียนที่มีระดับบนเกาะภูเก็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนภาษาอังกฤษนั้นมีความสำคัญมากสำหรับชาวภูเก็ต ต่อมาคุณพ่อเดินทางต่อไปถึงกันตังเพื่อต่อไปหาดใหญ่และนราธิวาส
คุณพ่อเจ้าคณะเดินทางไปภูเก็ต ในปี ค.ศ. 1940 คณะซาเลเซียนมีพระสงฆ์มากขึ้น คุณพ่อเจ้าคณะจึงคิดที่จะเปิดกิจการซาเลเซียนในภาคใต้ที่หัวหิน หาดใหญ่ หรือภูเก็ต ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1940 คุณพ่อเจ้าคณะยอห์น กาเซตตา พร้อมคุณพ่อมารีโอ รูเซ็ดดู ได้เดินทางไปที่ภูเก็ตเพื่อพบกับคุณหลวงชนาทรนิทเทส และปรึกษาหารือเรื่องการเปิดโรงเรียน (ดูรายละเอียดการเดินทางของคุณพ่อเจ้าคณะ ภาคที่ 6 ประวัติสังฆมณฑล บทที่ 1.2 การเยี่ยมเยียน) ท่านคุณหลวงได้ต้อนรับคุณพ่อเจ้าคณะเป็นอย่างดีและให้ที่พักที่บ้านนรูหราของท่านด้วย ในวันต่อไปคุณพ่อทั้งสองได้ไปเยี่ยมเยียน คริสตชนในเกาะเพื่อรู้ความต้องการและความคิดเห็นของเขาในเรื่องโรงเรียน ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1940 มีการประชุมพร้อมกับพ่อค้าชาวจีนเพื่อจะได้ ศึกษาเรื่องโรงเรียนจีนที่พวกเขาเคยเสนอที่ยกให้แก่คณะซาเลเซียนแต่มาถึงตอนนี้พวกเขาได้ยกให้แก่ธรรมทูตคริสเตียนแล้ว คุณหลวงชนาทรนิทเทส จึงพาคุณพ่อเจ้าคณะและคุณพ่อมารีโอไปดูที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งท่านพร้อมที่จะยกให้แก่คณะซาเลเซียนสำหรับการตั้งโรงเรียนคุณพ่อทั้งสองจึงเดินทางโดยเรือไปที่กันตังและต่อไปยังกรุงเทพ คุณพ่อเจ้าคณะได้เห็นชัดว่าเรื่องการเปิดโรงเรียนที่ภูเก็ตนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก คุณพ่อจึงตัดสินใจจะเปิดที่หาดใหญ่
การเยี่ยมเยียนภูเก็ตจากหาดใหญ่ เมื่อคุณพ่อมารีโอ รูเซ็ดดูได้มาอยู่ประจำที่หาดใหญ่ในปี ค.ศ. 1941 ท่านเดินทางจากหาดใหญ่ไปที่ต่าง ๆ ทุกเดือน และเดินทางไปภูเก็ตด้วย วันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1941 คุณพ่อมารีโอู รูเซ็ดดู ได้ออกเดินทางจากหาดใหญ่ไปเยี่ยมคริสตชนในฝั่งทะเลอันดามันที่ภูเก็ต พังงา ตะกั่วป่า ที่ภูเก็ตคุณพ่อได้ไปเยี่ยมกะลาสีชาวอิตาเลียนในเรือที่จอดอยู่ในอ่าวแห่งหนึ่ง ที่เกาะภูเก็ตด้วย
หลังสงครามโลกคุณพ่อย๊อบ การ์นีนี และคณพ่อนาตัล มาเนได้เอาใจใส่คริสตชนในที่ต่างๆถึงระนอง ภูเก็ต พังงา และตรัง โดยเดินทางไปเยี่ยมเป็นประจำทุกเดือน
II. พระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเยซูคริสตเจ้า (stigmatines)
พระสงฆ์รอยแผลศักดิ์สิทธิ์มาถึงประเทศไทย
เนื่องจากสงครามและการเบียดเบียนศาสนาในประเทศจีน พระสงฆ์มิชชันนารีคณะนักบวชรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเยซูคริสตเจ้า ชาวอิตาเลียนกลุ่มหนึ่งได้อพยพมาจากประเทศจีนและมาแวะที่ประเทศไทย ช่วงที่พักในประเทศไทยพระสงฆ์กลุ่มนี้ได้มารู้จักพระคุณเจ้าเปโตร คาเร็ตโตจากการแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน ความคิดที่จะทำงานเป็นธรรมฑูตในเมืองไทยจึงเกิดขึ้น พระคุณเจ้าคาเร็ตโตเสนอให้พวกเขาทั้งหลักแหล่งที่ภูเก็ต และเอาใจใส่งานอภิบาลใน 5 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน
วันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1952 คณะธรรมทูตรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ กลุ่มแรกประกอบด้วย คุณพ่อลีโน อินามา , คุณพ่อมาร์โก บลาซูติก , คุณพ่อพรีโม คาร์โนวาลี , คุณพ่อเอยีดีโอ ไอรากี และคุณพ่อยอห์น เซเรซัตโต ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย เมื่อมาถึงพระคุณเจ้าเปโตร คาเร็ตโต ได้ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านเณรบางนกแขวก เริ่มเรียนภาษาไทยและได้ช่วยงานอภิบาลตามวัดต่างๆ ใกล้ๆ
เริ่มงานที่ภูเก็ต เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1953 คุณพ่อลีโนอีนามากับคุณพ่อพรีโมได้เดินทางมาเริ่มงานที่ภูเก็ตช่วงแรกได้พักอาศัยในบ้านของคริสตชนครอบครัวหนึ่ง ต่อมาสังฆมณฑลราชบุรีได้ซื้อที่ดินซึ่งเป็นเหมืองแร่เก่าพร้อมบ้านพัก จากนั้นได้จัดการซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านเก่าให้เป็นบ้านพักพระสงฆ์และวัดน้อย คุณพ่อทั้งสองได้เริ่มติดตามหาคริสตชนและอภิบาลสัตบุรุษ
เมื่อได้พิจารณาสภาพแวดล้อมและความต้องการของประชาชนในจังหวัดภูเก็ตแล้ว คณะธรรมทูตได้เข้าใจว่าประชาชนชาวภูเก็ตคาดหวังให้มีโรงเรียนคาทอลิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการสอนภาษาอังกฤษอย่างมีระดับ ด้วยเหตุนี้คณะธรรมทูตจึงได้ติดต่อกับทางผู้ใหญ่ของแขวงสหรัฐอเมริกา เพื่อจะได้ส่งธรรมทูตชาวอเมริกันที่สามารถสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนได้ตามความคาดหวังของประชาชน ชาวเกาะภูเก็ต
เปิดโรงเรียน ในเดือนมีนาคม ค.ศ 1954 คุณพ่อร็อคโก เลโอติโล และคุณพ่อโจเซฟ ฟลัท จากแขวง สหรัฐอเมริกาได้สมัครใจมาร่วมงานกับธรรมทูตชาวอิตาเลียนกลุ่มแรก พวกท่านได้ช่วยกันก่อตั้ง “โรงเรียนดาวรุ่งวิทยา” โดยตั้งชื่อตามคำสรรเสริญแม่พระในฐานะเป็นดาวประจำรุ่ง เพื่อถวายเกียรติแด่พระนางมารีอา ปี ค.ศ. 1955 ธรรมทูตชาวอเมริกันเดินทางมาสมทบอีกหนึ่งท่านคือ คุณพ่อชาร์ล นารันโจ กิจการของโรงเรียนดาวรุ่งวิทยาได้เจริญก้าวหน้าทั้งด้านปริมาณและคุณภาพจำเป็นที่ยอมรับของชาวภูเก็ต
คณะธรรมทูตทั้ง 8 ท่านได้ข่วยกันรับผิดชอบงานตามความสามารถของแต่ละคน ซึ่งแบ่งงานออกเป็นสองด้านหลักคือ งานสอนและบริหารจัดการโรงเรียน และงานอภิบาลสัตบรุษ คณพะธรรมทูตได้ออกไปเยี่ยมเยียนสัตบุรุษและตามหาคริสต์ชนในที่ต่าง ๆ เข่น ตะกั่วป่า พังงา ระนอง โดยในช่วงวันพระคริสตสมภพและสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ คุณพ่อจะแยกย้ายกันไปอภิบาลและบริการศีลศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สัตบุรุษตามสถานที่ดังกล่าว แล้วกลับมาประจำอยู่ที่ภูเก็ต
การสร้างวัดถาวร ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1957 ได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์วัดหลังใหม่ที่กำลังจะสร้างขึ้นโดยให้ชื่อว่า “วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์” ได้ทำพิธีเปิดในวันที่ 31 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1958 ในโอกาสพิธีปลงศพ คุณพ่อเอยีดีโอ ไอรากี พระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ซึ่งถึงแก่มรณกรรมเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ กระแสไฟฟ้าลัดวงจร
ต่อมาในปี ค.ศ. 1961 ได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์” เพราะได้ค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พอจะเชื่อถือได้ว่า ก่อนหน้านี้บนเกาะภูเก็ตเคยมีวัดคาทอลิกอยู่ 3 แห่งด้วยกัน และที่ใหญ่ที่สุดในสามวัดนั้นมีชื่อว่า “วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์” วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์เป็นวัดแรกที่ได้สร้างขึ้น ในูรปลักษณะของวัดคาทอลิกที่แท้จริงในภาคใต้ ตามที่คุณพ่อไบน้อตตี อธิการโรงเรียนแสงทองวิทยา หาดใหญ่ได้พูดไว้เมื่อเดินทางมาร่วมพิธีเปิดวัดและพิธีฝังศพ
ปัจจุบันวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์แห่งนี้ มีสัตบุรุษปริมาณ 150 คน อีกทั้งยังมีบรรดานักท่องเที่ยวที่มารวมพิธีทางศาสนา ซึ่งในแต่ละปียิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หมายเหตุ ในช่วงระยะหนึ่งคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ได้ขอให้พระคุณเจ้าคาเร็ตโตเร่งทำการแบ่งมิสซัง แต่พระสมณทูตไม่เห็นด้วย เนื่องจากคริสตชนยังมีจำนวนน้อยอยู่ (อ้างอิง vcdM 16 กุมภาพันช์ ค.ศ. 1961 และ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1961)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 – 1961 ในการประชุมของคณะที่ปรึกษาสังฆมณฑลราชบุรี มีการหารือกันหลายครั้งเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างสังฆมณฑลกับคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ (ดูบันทึกที่ราชบุรี vcdM 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961 และ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1961) ตามข้อตกลงนี้สังฆมณฑลราชบุรีจะต้องรับภาระซื้อที่ดิน และคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ จะรับภาระในการก่อสร้างอาคารที่จำเป็นในสถานที่ต่างๆ พระคุณเจ้ากาเร็ตโตจึงจัดการหาซื้อที่ดินตามข้อตกลงในที่ซึ่งคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ต้องการเปิดกิจการวัดและโรงเรียน
ระหว่างปี ค.ศ.1960 -1975 เป็นช่วงที่กิจการทางภาคใต้มีการพัฒนาเป็นอย่างมาก พระคุณเจ้าจึงขอให้คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ส่งสมาชิกของคณะเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้นในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน
โรงเรียนดาวรุ่งวิทยา ภูเก็ต
การก่อตั้งโรงเรียน
ปัจจุบันโรงเรียนดาวรุ่งวิทยา ตั้งอยู่เลขที่ 31 ถ.เจ้าฟ้า ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 40 ไร่เศษ เดิมที่ดินนี้เป็นเหมืองแร่ และภายหลังมิสซังคาทอลิกราชบุรีโดยพระสังฆราชเปโตร กาเร็ตโต ได้ซื้อที่ดินผืนนี้และมอบให้พระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ได้จัดตั้งโรงเรียนดาวรุ่งวิทยาในนามของมิสซังโรมันคาทอลิก โดยเปิดสอนและรับเฉพาะนักเรียนชายครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) โดยมีคุณพ่อลีโน อินามาเป็นอธิการ คุณพ่อเอยีดีโอ ไอรากีเป็นรองอธิการ และนายปีเตอร์ สิทธิอำนวยเป็นเจ้าของโรงเรียนในนาม
ปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) มีการรื้อถอนอาคารไม้ 2 หลัง และได้ก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นขึ้น โดยมีคุณพ่อโจเจฟ เอ็ดเวิร์ด ฟลัท เป็นอธิการ และพัฒนาโรงเรียนจนเจริญรุดหน้า อย่างดียิ่งตลอดมา ผลการเรียนของนักเรียนดีเด่น จนกระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลในปี ค.ศ. 1960 (พ.ศ 2503) นับเป็นเกียรติประวัติที่น่าภูมิใจยิ่ง
ปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) คณะศิษย์เก่าโรงเรียนดาวรุ่งวิทยา นำโดยนายพรหมมินทร์ หงส์บุตร ได้ขอยื่นเรื่องจัดตั้ง “สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนดาวรุ่งวิทยา” และได้รับอนุญาตจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525)
โรงเรียนดาวรุ่งวิทยายุคพัฒนา นับแต่ปีการศึกษา 1997 (พ.ศ. 2540) โรงเรียนได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาเป็นอย่างมากเริ่มตั้งแต่การได้รับความช่วยเหลือจากคณะซิสเตอร์ผู้รับใช้ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ ได้มอบหมายให้ซิสเตอร์ศรีเวียง อาภรณ์รัตน์ มาเป็นครูใหญ่ ซิสเตอร์ได้มาช่วยเหลือ ปรับปรุง พัฒนาส่วนต่างๆ ของโรงเรียน ระบบการบริหารงาน งานวิชาการ กิจการนักเีรียน อาคารสถานที่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การดูแลเอาใจใส่นักเรียนให้มีระเบียบวินัย กิริยามารยาท เรียบร้อย สัมมาคารวะ มีคุณธรรม จริยธรรมในชีวิตของนักเรียน เพื่อให้พวกเขาเจริญเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพในสังคมสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข
สืบเนื่องจากการปรับปรุง พัฒนาโรงเรียนในด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ทำให้เห็นความเจริญเติบโต ความก้าวหน้าของโรงเรียนอย่างเด่นชัด ส่งผลให้โรงเรียนเป็นที่ไว้วางใจและยอมรับของผู้ปกครองมากขึ้นเป็นลำดับอย่างที่ปรากฏ
อาคารเรียน มารีอา อาคารเรียนหลังใหม่
การก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 4 ขั้น 18 ห้องเรียน เริ่มต้นขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) การก่อสร้างนี้ได้รับความร่วมมือจากศิษย์เก่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และอีกหลายๆ ฝ่ายวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) มีพิธีเปิดและเสกอาคาร “มารีอา” อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นคือ คุณพงศ์โพยม วาศภูติ และพระสังฆราชไมเกิ้ล ประพนธ์ ชัยเจริญ เป็นประธานในพิธี
ปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) โรงเรียนได้รับการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งผ่านเกณฑ์เป็นที่น่าพอใจยิ่ง
ปัจจุบันมีคุณพ่อภาคภูมิ วรพรทัศนา เป็นอธิการ และคูรใหญ่
ปรัชญา โรงเรียน
“พัฒนาความรู้ เชิดชูคุณธรรม กิจกรรมพร้อมมูล เกื้อกูลชุมชน”
โรงเรียนดาราสมุทร ภูเก็ต โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ตเป็นโรงเรียนคาทอลิกตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตสังกัดคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ก่อตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) ตั้งอยู่เลขที่ 13 ถ. วิชิตสงคราม อ. เมือง จ. ภูเก็ต บนเนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน 400 ตารางวา โดยมีพระสังฆราชเปโตร กาเร็ตโต เป็นผู้ก่อตั้งจนกระทั่งได้รับใบอนุญาต
เมื่อพระคุณเจ้าเปโตร กาเร็ตโต ประมุขสังฆมณฑลราชบุรีได้เห็นว่าพระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ เอาจริงเอาจังในการเปิดโรงเรียนดาวรุ่งวิทยาแล้ว ท่านได้ติดตามเรื่องที่ดินที่คุณหลวงชนาทรนิทเทส (Chanador Niddhes) เคยสัญญาไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 ที่สุดในปี ค.ศ 1961 พระคุณเจ้าประสบความสำเร็จในการติดตามโดยของท่านได้รับที่ดินจำนวน 43 ไร่ จากลูกหลานของคุณหลวงฯ (อ้างอิง vcd M ราชบุรี ตุลาคม ค.ศ.1961)
พระคุณเจ้าเปโตร กาเร็ตโต ต้องการที่จะเปิดโรงเรียนหญิงในที่ดิน 43 ไร่ที่ได้รับมานี้ แต่คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ยังไม่พบคณะนักบวชหญิงที่จะมาทำงานด้วย ดังนั้นในเดือนตุลาคม ค.ศ.1961 พระคุณเจ้าจึงคิดที่จะให้ซิสเตอร์คณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์มาเปิดโรงเรียน แต่คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ขอเวลาอีกระยะหนึ่ง (อ้างอิง vcdM 19 ตุลาคม ค.ศ. 1961) หลังจากนั้นไม่นานคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ได้เชิญนักบวชหญิงคณะฟรังซิสกัน (Franciscan siasters of Our Lady of Perpetua Help )
วันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1961 อธิการิณีเจ้าคณะของซิสเตอร์ฟรังซิสกัน (Franciscan sisters of Our Lady of PerpetuaI Help) ได้เดินทางมาดูและตอบตกลง พระสังฆราชจึงมีความยินดีที่มีผู้มาทำงานด้วย (อ้างอิง vcdM 27 ธันวาคม ค.ศ. 1961) ซิสเตอร์คณะนี้ได้มาถึงในเดือนกันยายน ค.ศ 1962 และโรงเรียนดาราสมุทรได้เปิดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1964 ในที่ดิน 43 ไร่ของสังฆมณฑล
ตอนแรกทางสังฆมณฑลได้เปิดเป็นโรงเรียนชั้นอนุบาลและประถมศึกษาเท่านั้น เพราะว่าพระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ ได้เปิดโรงเีรียนดาวรุ่งวิทยาในแผนกมัธยมแล้ว แต่ซิสเตอร์คณะนี้ทำงานได้เพียง 6 ปีแล้วกลับไปประเทศสหรัฐอเมริกา พระคุณเจ้าเปโดร กาเร็ตโต จึงมอบโรงเรียนให้อยู่ในความดูแลของซิสเตอร์คณะผู้รับใช้ฯ ในีปี ค.ศ. 1969 (อ้างอิง vcdM 9 มิถุนายน ค.ศ. 1969) ซิสเตอร์ได้ดำเนินงานและพัฒนาโรงเรียนจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเปิดชั้นมัธยมศึกษาด้วยและสอนเป็น 2 ภาษา ปัจจุบันนี้ (ค.ศ. 2004) โรงเรียนมีครู 100 คน นักเรียนจำนวน 2,643 คน



คำยืนยันลูกค้า
คำยืนยัน ในคุณภาพและผลงานการจัดทัวร์จากลูกค้าบางส่วนของ นิววิวทัวร์
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคุณพีรยุทธิ์ (สมาชิกสหกรณ์องค์การทหารผ่านศึก) กิจกรรมเขาใหญ่ 180 ท่าน Part2
24798 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคุณเอก (ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย (ดีดีพร็อพเพอร์ตี้)) ทีมบิ้วดิ้งนครนายก 2 วัน 60 ท่าน Part2
24179 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคุณอั๋น (ยู กรุ๊ป) กิจกรรมทีมบิวดิ้ง แก่งกระจาน 2 วัน 50ท่าน Part 1
23801 Views