7 ประวัติ อื่นๆ พิจิตร

tour history miscelleneous domesticประวัติ อื่นๆ จังหวัดพิจิตร

tour history miscelleneous phichit

ตราประจำจังหวัด

ตราประจำจังหวัด ต้นโพธิ์ริมสระหลวง
ดอกไม้ประจำจังหวัด ดอกบัวหลวง (Nymphaea Lotus)
ต้นไม้ประจำจังหวัด บุนนาค (Mesua Ferrea)
คำขวัญประจำจังหวัด ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี    พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน

ประวัติความเป็นมาของจังหวัดพิจิตร

ราวปีพุทธศักราช ๑๔๐๐ พระยมโคตรบองเทวราช ซึ่งครองเมืองละโว้ ถูกขอมขับไล่หนีลงมาทางใต้จนมาถึงหมู่บ้านโกทัญญคาม (อยู่ตำบลบ้านน้อย อำเภอโพทะเล) จึงสร้างเมืองขึ้นใหม่นามว่า "เมืองนครไชยบวร" มีผู้สืบเชื้อสายต่อมาอีกหลายองค์ จนถึงปีพุทธศักราช ๑๖๐๑ เจ้ากาญจนกุมาร เชื้อสายพระยาโคตรบองได้เสด็จประพาสทางเรือมาทางลำน้ำพิจิตรเก่า ครั้นมาถึงตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตรในปัจจุบัน เห็นชัยภูมิเหมาะสมจึงสร้างเมืองใหม่ให้นามว่า"สระหลวง" เพราะอยู่ใกล้บึงใหญ่ คือบึงสีไฟนั่นเอง

เมืองสระหลวงเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองสุโขทัย ยามเกิดศึกสงคราม เมืองสระหลวงมีหน้าที่ป้องกันอย่างเข้มแข็งและส่งเสบียงอาหารเพราะมีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์

พอกรุงสุโขทัยเสื่อมลง กรุงศรีอยุธยามีอำนาจ เมืองสระหลวงก็เปลี่ยนขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยา เปลี่ยนชื่อว่า " เมืองโอฆะบุรี " แปลว่า เมืองในท้องน้ำ

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำเรียกเมืองเป็นจังหวัด เมืองพิจิตรจึงมีฐานะเป็นจังหวัดพิจิตร ราวปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ แควพิจิตรเก่าเปลี่ยนทางเดิน จึงย้ายเมืองมาริมน้ำน่านและสร้างศาลากลางจังหวัดพิจิตร เมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๔๗๓

จังหวัดพิจิตร เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง มีความหมายของชื่อเมืองว่า เมืองงาม มีชื่อปรากฏ ในประวัติศาสตร์ มาเก่าแก่โบราณว่า เมืองสระหลวง หรือเมืองโอฆะบุรี อันเป็นเมืองพระราชสมภพ ของสมเด็จพระสรรเพชย์ที่ ๘ หรือที่ใคร ๆ เรียกว่าพระเจ้าเสือ จังหวัดพิจิตรเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ และถิ่นเกิดของเรื่อง ไกรทอง อันลือชื่อนั่นเองครับ

"พิจิตร แปลว่า "งาม" เมื่อเกล่าวถึงเมืองพิจิตรจึงหมายถึงเมืองงาม เมืองที่มีเสน่ห์ประทับใจ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ คือเป็นที่ประสูติของพระเจ้าเสือ หรือ "พระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘" พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาและเป็นเมืองที่ให้กำหนิดนักปราชญ์ราชบัณฑิต คือ พระโหราธิบดี บิดาของศรีปราชญ์แม้แต่ในวรรณคดีไทยยังกล่าวว่า จหมื่นไวยนารถ (พลายงาม) ทายาทของขุนแผนยอดขุนพลแห่งเมืองอโยธยาก็เคยมาหลงเสน่ห์สาวงามเมืองพิจิตร

จังหวัดพิจิตรเป็นจังหวัดเก่าแก่มากจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เชื่อกันว่าเจ้ากาญจนกุมาร (พระยาโคตระบอง) โอรสพระยาโคตมเทวราชเป็นผู้สร้างเมืองเหนือ ฝั่งแม่น้ำน่านในปี พ.ศ. ๑๖๐๑ เดิมมีหลายชื่อ คือ เมืองสระหลวง เมืองโอฆะบุรี เมืองชัยบวรและเมืองปากยม ดินแดนอันเป็นเขตจังหวัดพิจิตรอยู่ในที่ราบลุ่มตอนใต้ของภาคเหนือในดินแดนสุวรรณภูมิบริเวณนี้เป็นบริเวณที่ลำน้ำยมและลำน้ำน่านไหลผ่านลักษณะพิเศษของดินแดนจังหวัดพิจิตรเดิมเต็มไปด้วยห้วยหนอง คลองบัง พื้นดินจังหวัดพิจิตรเป็นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตร เพราะเป็นดินตะกอนที่เกิดจากน้ำท่วมทับทมทุกปีมีปลาชุกชุม

ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบจตุสดมภ์และแบ่งหัวเมืองออกเป็นหัวเมือง เอก โท ตรี จัตวา เมืองพิจิตรมีฐานะเป็นเมืองตรี มีความสำคัญทางทหารและการปกครองมาก ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ คำกลอนเรื่อง "ไกรทอง" โดยใช้เมืองพิจิตรเป็นแหล่งกำหนดของเรื่องราว เนื่องจากเมืองพิจิตรเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมากมายและมีจระเข้ชุกชุมนั่นเอง

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้นำรูปแบบการปกครองระบบเทศาภิบาลมาใช้และได้จัดตั้งมณฑลพิษณุโลกเป็นมลฑลแรกประกอบด้วย
๕ เมือง คือ เมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย และเมืองพิจิตร

ตำนานเมืองพิจิตร
พระพิจิตรเกศคด
ตามตำนานเล่าว่าในสมัยโบราณ พิจิตรเป็นเมืองลูกหลวงของกรุงสุโขทัย เวลามีศึกสงคราม ก็มักจะมีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ชาวพิจิตรไปรบ และนักรบจากเมืองพิจิตรนี้มีความกล้าหาญอย่างยิ่ง ก็มีผู้สงสัยว่าทำไมนักรบเหล่านี้จึงกล้าหาญ ก็ปรากฏว่า ชายฉกรรจ์เหล่านี้ต่างมีพระเครื่อง ที่เป็นวัตถุมงคลติดตัวไปทุกคน และพระเครื่องเหล่านี้ก็แปลกกว่าที่อื่น ๆ คือตรงเศียรพระจะเอียงไม่ตรง เข้าใจว่าพิมพ์ที่นำมาใช้หล่อพระนั้นจะทำไม่ตรง แต่ภายหลังก็เป็นที่นิยมกันว่า พระเครื่องของพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ที่ทำขึ้นในเมืองพิจิตรในสมัยต่อมามักจะทำเกศให้คด เป็นรูปพิมพ์นิยม จึงเรียกกันติดปากว่า พิจิตรเกศคด

ตำนานชาละวัน
ชาละวัน เป็นจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อแห่งแม่น้ำน่านเก่าเมืองพิจิตร สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยที่พิจิตรมีเจ้าเมืองปกครอง ตามตำนานกล่าวว่า มีตายายสองสามีภรรยา ออกไปหาปลาพบไข่จระเข้ที่สระน้ำแห่งหนึ่ง จึงเก็บมาฟักเป็นตัวแล้วเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ เพราะยายอยากเลี้ยงไว้แทนลูก ต่อมาจระเข้ตัวใหญ่ขึ้นจึงนำไปเลี้ยงไว้ในสระใกล้บ้านหาปลามาให้เป็นประจำ ต่อมาตายายหาปลามาให้เป็นอาหารไม่พออิ่ม จระเข้ตัวนั้นจึงกินตายายเป็นอาหาร เมื่อขาดคนเลี้ยงดูให้อาหาร จระเข้ใหญ่จึงออกจากสระไปอาศัยอยู่ในแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ห่างจากสระตายายประมาณ 500 เมตร

แม่น้ำน่านเก่าในสมัยนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลานานาชนิดและมีน้ำบริบูรณ์ตลอดปี ขณะนั้นไหลผ่านบ้านวังกระดี่ทอง บ้านดงเศรษฐี ล่องไปทางใต้ ไหลผ่านบ้านดงชะพลู บ้านคะเชนทร์ บ้านเมืองพิจิตรเก่า บ้านท่าข่อย จนถึงบ้านบางคลาน จระเข้ใหญ่ก็เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแม่น้ำตั้งแต่ย่านเหนือเขตวังกระดี่ทอง ดงชะพลู จนถึงเมืองเก่า แต่ด้วยจระเข้ใหญ่ของตายายได้เคยลิ้มเนื้อมนุษย์แล้ว จึงเที่ยวอาละวาดกัดกินคนทั้งบนบกและในน้ำไม่มีเว้นแต่ละวัน จึงถูกขนานนามว่า "ไอ้ตาละวัน" ตามสำเนียงภาษาพูดของชาวบ้านที่เรียกตามความดุร้ายที่มันทำร้ายคน ไม่เว้นแต่ละวัน ต่อมาก็เรียกเพี้ยนเสียงเป็น "ไอ้ชาละวัน" และเขียนเป็น "ชาลวัน" ตามเนื้อเรื่องในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ชื่อของชาละวันแพร่สะพัดไปทั่วเพราะเจ้าชาละวันไปคาบเอาบุตรสาวคนหนึ่งของเศรษฐีเมืองพิจิตรขณะกำลังอาบน้ำอยู่ที่แพท่าน้ำาหน้าบ้าน เศรษฐีจึงประกาศให้สนบนหลายสิบชั่ง พร้อมทั้งยกลูกสาวที่มีอยู่อีกคนหนึ่งให้แก่ผู้ที่ฆ่าชาละวันได้ ไกรทอง พ่อค้าจากเมืองล่าง สันนิษฐานว่าจากเมืองนนทบุรี รับอาสาปราบจระเข้ใหญ่ด้วยหอกลงอาคมหมอจระเข้ ถ้ำชาละวันสันนิษฐานว่าอยู่กลางแม่น้ำน่านเก่า ปัจจุบันอยู่ห่างจากที่พักสงฆ์ถ้ำชาละวัน บ้านวังกระดี่ทอง ตำบลย่านยาว ไปทางใต้ประมาณ 300 เมตร ทางลงปากถ้ำเป็นโพรงลึกเป็นรูปวงกลมมีขนาดพอดี จระเข้ขนาดใหญ่มากเข้าได้อย่างสบาย คนรุ่นเก่าได้เล่าถึงความใหญ่โตของชาละวันว่า เวลามันอวดศักดาลอยตัวปริ่มน้ำขวางคลอง ลำตัวของมันจะยาวคับคลอง คือหัวอยู่ฝั่งนี้ หางอยู่ฝั่งโน้น เรื่องชาละวันเป็นเรื่องที่เลื่องลือมาก จนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกเรื่อง "ไกรทอง" และให้นามจระเข้ใหญ่ว่า "พญาชาลวัน"

จังหวัดพิจิตรมีเนื้อที่ 4,531.013 ตารางกิโลเมตร มีความยาวจากทิศเหนือจดใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร ความกว้างจากทิศตะวันออกจดทิศตะวันตกประมาณ 72 กิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ 3 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอสามง่าม อำเภอตะพานหิน อำเภอบางมูลนาก อำเภอโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพทะเล อำเภอวังทรายพูน อำเภอทับคล้อ อำเภอวชิรบารมี กิ่งอำเภอสากเหล็ก กิ่งอำเภอคงเจริญ และกิ่งอำเภอบึงนาราง

อาณาเขต

ทิศเหนือ จดจังหวัดพิษณุโลก
ทิศใต้ จดจังหวัดนครสวรรค์
ทิศตะวันออก จดจังหวัดเพชรบูรณ์
ทิศตะวันตก จดจังหวัดกำแพงเพชรและนครสวรรค์